เมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๘ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ทรงสังเกตเห็นว่ามีกลุ่มเมฆปริมาณมากอยู่เหนือพื้นที่รอบเส้นทางบิน
แต่ไม่สามารถก่อตัวให้เกิดเป็นฝนได้
จึงมีพระราชดำริถึงวิธีการทางวิทยาศาสตร์
ที่จะช่วยให้เมฆเกิดการรวมตัวและเกิดเป็นฝนตกลงมา
ทรงมีพระราชอุตสาหะศึกษาค้นคว้าด้วยพระองค์อย่างมิทรงย่อท้อ
กระทั่ง สามารถทดลองสำเร็จเป็นครั้งแรก เมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๒
กระทรวงคมนาคมได้มีส่วนสนองพระราชดำริถวายงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาท
โดยบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
ได้ดำเนินการบันทึกและรวบรวมข้อมูลในการปฏิบัติการ
เพื่อทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ติดตามผล
บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด
ได้ปฏิบัติภารกิจสนับสนุนการบริการควบคุมจราจรทางอากาศ
ตลอดจนกรมท่าอากาศยาน ได้สนับสนุนด้านพื้นที่
สำหรับใช้เป็นที่ตั้งฐานปฏิบัติการฝนหลวง
หยาดน้ำฉ่ำเย็น…จากฝนหลวง มีเพียงน้ำความชุ่มชื้น
มาสู่หัวใจของคนไทยทั้งชาติ
ยังสามารถบรรเทาความทุกข์ร้อนของราษฎร
ให้ผ่อนคลายได้อย่างน่าอัศจรรย์
และยังนำพาความภาคภูมิใจมาสู่กระทรวงคมนาคม
ที่ได้ถวายงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาทตลอดมา

ท่าอากาศยานหลักของประเทศไทยที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
โดยนามว่า “สุวรรณภูมิ” นี้ ได้รับพระราชทานจาก
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
มีความหมายว่า “แผ่นดินทอง”
ทั้งทรงเปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณเสด็จพระราชดำเนิน
ไปทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารผู้โดยสาร
เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๕
ยังความปลาบปลื้มปีติแก่กระทรวงคมนาคม บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
ตลอดจนประชาชนผู้ใช้บริการอย่างหาที่สุดมิได้
ปัจจุบัน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
มีศักยภาพรองรับผู้โดยสารได้มากถึง ๔๕ ล้านคนต่อปี
รองรับเที่ยวบินได้ ๗๖ เที่ยวบินต่อชั่วโมง
และรองรับการขนถ่ายสินค้าได้ ๓ ล้านตันต่อปี
นับเป็นท่าอากาศยานที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
และตั้งเป้าหมายว่าจะเป็น “ศูนย์กลางการบิน” ที่สำคัญของเอเชีย
นอกจากนี้ ยังถือเป็น “ประตูบานแรก” ที่ต้อนรับอาคันตุกะต่างแดนผู้มาเยือนประเทศไทย
ด้วยการออกแบบให้มีความโดดเด่น วิจิตร ทันสมัย
ผสานไปกับกลิ่นอายวัฒนธรรมไทยอันเป็นเอกลักษณ์อย่างงดงามและลงตัว

หนึ่งในท่าอากาศยานภูมิภาค
ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
พระราชทานนามอันเป็นมหามงคลว่า
“ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย”
เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓
เพื่อเฉลิมพระเกียรติและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ
ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
ทั้งเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความจงรักภักดี
ที่ปวงชนชาวไทยมีต่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
ซึ่งเคยประทับอยู่ ณ พระตำหนักดอยตุง จังหวัดเชียงราย
โดยท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
เปิดให้บริการการเดินทางระหว่างเชียงราย-กรุงเทพมหานคร
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๕
ปัจจุบัน มีขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารได้ ๓ ล้านคนต่อปี
และสามารถรองรับอากาศยานขนาดใหญ่
เช่น Boeing 777, Boeing 787, Airbus A330 series, Airbus A340 series
และอากาศยานขนาดใหญ่มาก เช่น Boeing 747 series ได้

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
นอกจากจะมีพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าแก่กระทรวงคมนาคม
โดยพระราชทานแนวพระราชดำริ
ในการพัฒนากิจการ “คมนาคมทางอากาศ” มาโดยตลอดแล้ว
ยังมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทาน “นาม” แก่เครื่องบินรับส่งผู้โดยสาร
ของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
ตั้งแต่เครื่องบินลำแรกที่เริ่มปฏิบัติการบินจวบจนถึงปัจจุบัน จำนวนถึง ๑๖๐ ลำ
เช่น วิสุทธกษัตรีย์ ชัยปราการ หริภุญชัย บวรรังสี เทพประสิทธิ์ ศิริโสภาคย์
ดารารัศมี พิมรา ศรีสุริโยทัย ศรีสัชนาลัย อลงกรณ์ เทพราช เป็นต้น
ตลอดจนฝูงบิน Airbus A380 ที่มีนามพระราชทาน
เป็นชื่อ “อำเภอ” ต่าง ๆ ในประเทศไทย
ได้แก่ ศรีรัตนะ พยุหะคีรี มัญจาคิรี ศรีราชา กมลาไสย และไชยา
และเครื่องบินลำใหม่ล่าสุดที่ได้เริ่มปฏิบัติการบินใน พุทธศักราช ๒๕๕๙
คือ Airbus A350-900 ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานนามว่า “วิเชียรบุรี”
ซึ่งถือเป็น “มหามงคลนาม” อันเป็นสิริมงคลยิ่งสืบมา