กระทรวงคมนาคมเร่งพัฒนามาตรฐานทางหลวง
จาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจรทั่วประเทศ
เพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางและการขนส่งสินค้า
ให้คล่องตัว ต่อเนื่อง และปลอดภัย
ด้วยโครงข่ายทางหลวงที่เชื่อมโยงและเข้าถึงทุกพื้นที่
พร้อมให้บริการได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ทั้ง ๓๖๕ วัน และทุกฤดูกาล
ช่วยกระจายความเจริญ เพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ
สร้างความ “อยู่ดีกินดี” ให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
พร้อม “ยกระดับ” เป็น “Multimodal Transport”
เชื่อมโยงทุกมิติคมนาคม ทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ
ให้ต่อเนื่อง ไร้รอยต่อ จนเป็นโครงข่ายที่สมบูรณ์
รองรับการเจริญเติบโตของเมืองและประเทศ
ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
ตลอดจนขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เข้มแข็ง
และเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน

พัฒนาโครงข่าย “มอเตอร์เวย์”
ให้เป็นทางเลือกใหม่ของการคมนาคมและโลจิสติกส์
ที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
ด้วยการเร่งรัดการก่อสร้างมอเตอร์เวย์ ๓ เส้นทาง
ได้แก่ มอเตอร์เวย์ หมายเลข ๖ สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6)
มอเตอร์เวย์ หมายเลข ๘๑ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81)
และมอเตอร์เวย์ หมายเลข ๘๒ สายบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว (M82)
เชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมและโลจิสติกส์จากกรุงเทพมหานคร-ปริมณฑล
สู่พื้นที่ภาคตะวันตก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้
เชื่อมต่อประตูการค้าและเชื่อมโยงการขนส่งรูปแบบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องไร้รอยต่อ
รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้วยระบบ M-flow
แก้ไขปัญหาจราจรติดขัดหน้าด่าน ลดอุบัติเหตุ
และเพิ่มความคล่องตัวในการเดินให้แก่ประชาชน
พร้อมต่อยอดเดินหน้าพัฒนาโครงข่ายมอเตอร์เวย์
ตามแผนแม่บทการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ระยะ ๒๐ ปี
รวมกว่า ๒๑ เส้นทาง ระยะทางรวม ๖,๖๑๒ กิโลเมตร
กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว พร้อมกระจายความเจริญไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ อย่างทั่วถึง
ตลอดจนยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน
เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
และยกระดับประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลาง” การคมนาคมและโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค

เดินหน้าผลักดันแผน “MR-MAP”
เร่งพัฒนาโครงข่ายมอเตอร์เวย์ร่วมกับทางรถไฟ จำนวน ๑๐ เส้นทาง
ประกอบด้วย แนวเหนือใต้ ๓ เส้นทาง
ได้แก่ MR1 เชียงราย-นราธิวาส MR2 หนองคาย-แหลมฉบัง MR3 บึงกาฬ-สุรินทร์
แนวตะวันออก-ตะวันตก ๖ เส้นทาง ได้แก่ MR4 นครพนม-ตาก
MR5 อุบลราชธานี-กาญจนบุรี MR6 สระแก้ว-กาญจนบุรี
MR7 ตราด-กรุงเทพมหานคร MR8 ชุมพร-ระนอง MR9 สุราษฎร์ธานี-ภูเก็ต
และแนววงแหวนรอบกรุงเทพมหานคร ๑ เส้นทาง
คือ MR10 วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร รอบที่ ๓
เพื่อบูรณาการโครงข่ายในการเดินทางและขนส่งสินค้าให้เกิดประสิทธิภาพ
ลดระยะเวลาการเดินทาง ลดต้นทุนการขนส่ง
ลดปัญหาการแบ่งแยก ๒ ฝั่ง ชุมชน และการเวนคืนที่ดินซ้ำซ้อน
ทั้งช่วยกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค เพิ่มโอกาสการพัฒนาไปยังพื้นที่ใหม่
เชื่อมต่อประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน
ส่งเสริมเศรษฐกิจเข้มแข็ง วางรากฐานการพัฒนาระบบคมนาคมไทย
สู่อนาคตที่ยั่งยืน

เร่งพัฒนาทางพิเศษ เพื่อรองรับการขยายตัวของเมือง
ช่วยลดเวลาการเดินทางและคลี่คลายปัญหาจราจรบนท้องถนน
ไม่ว่าจะเป็นทางพิเศษสายเมืองใหม่-เกาะแก้ว-กะทู้
ทางพิเศษสายกะทู้-ป่าตอง
แก้ไขปัญหาจราจรบนทางหลวงหมายเลข ๔๐๒
เส้นทางหลักในการเดินทางของจังหวัดภูเก็ต
ทางพิเศษสายพระราม ๓–ดาวคะนอง–วงแหวนรอบนอก
บรรเทาปัญหาจราจรบนถนนพระรามที่ ๒
เส้นทางหลักในการเดินทางและขนส่งสินค้าสู่ภาคใต้
รวมทั้งก่อสร้างสะพานคู่ขนานสะพานพระราม ๙
สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเฉลิมพระเกียรติแห่งใหม่
กว้างที่สุดในประเทศไทย
ช่วยแก้ไขปัญหารถติดสะสม เพิ่มความสะดวกรวดเร็ว
ในการเดินทางให้แก่ประชาชนผู้ใช้บริการ
ทางพิเศษสายพระราม ๓ ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตกมากยิ่งขึ้น

เปิดให้บริการถนนเฉลิมบูรพาชลทิต ระยะที่ ๑
ส่งเสริมการท่องเที่ยวและสนับสนุนเศรษฐกิจในภาคตะวันออก
รวมทั้งพัฒนาโครงข่าย “ทางหลวงชนบท” เลียบชายฝั่งทะเล
รวมระยะทางกว่า ๕๐๐ กิโลเมตร
เชื่อมโยง ต่อเนื่อง ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดชายฝั่งทะเลด้านตะวันตก
ได้แก่ จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
จังหวัดชุมพร และจังหวัดระนอง
ยกระดับเป็น “ถนนท่องเที่ยว” ชายฝั่งทะเลระดับสากล
ตามแผนพัฒนาการท่องเที่ยวเลียบชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของอ่าวไทย
หรือ “Thailand Riviera”
เพิ่มความสะดวกปลอดภัยในการเดินทาง
ให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว
ส่งเสริมเศรษฐกิจ กระตุ้นการท่องเที่ยว
ช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นและยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
ในพื้นที่ตลอดแนวเส้นทาง
พร้อมสนับสนุนให้ประเทศไทย
เป็น “ศูนย์กลาง” การท่องเที่ยวที่สำคัญของเอเชีย

กระทรวงคมนาคมร่วมส่งเสริม
การใช้ “พลังงานสะอาด” ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ด้วยการให้บริการรถโดยสายสาธารณะ
ขับเคลื่อนด้วย “พลังงานไฟฟ้า” หรือ “EV BUS”
ช่วยลดต้นทุนด้านพลังงาน แก้ไขปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
และปัญหามลพิษอย่างยั่งยืน
ปัจจุบัน มี EV BUS ให้บริการแล้ว จำนวนกว่า ๓๑๘ คัน
ในหลายเส้นทางของกรุงเทพมหานคร
และในอนาคตอันใกล้นี้
มีแผนจะเปลี่ยนรถโดยสารดีเซลเป็น EV BUS เพิ่มเติมอีก
จำนวนไม่น้อยกว่า ๒,๔๐๐ คัน
พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ
ด้วยการยกระดับเป็น “รถเมล์อัจฉริยะ”
ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร
ไม่ว่าจะเป็นป้ายดิจิทัล บอกเส้นทางและป้ายต่อไป
ระบบ GPS ติดตามและควบคุมการใช้ความเร็ว
ไปจนถึงส่งเสริมให้รถทุกคันเป็นรถชานต่ำ (Low Floor Bus)
เพื่อให้ผู้พิการสามารถขึ้น-ลงรถได้อย่างสะดวก